Dekaron : Segnale พระสาวหุ่นเซ็กซี่ GMแนะนำน่าเล่น

[Admin]

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า อาชีพนี้เรียกได้ว่าเป็นอาชีพ All in One เลยทีเดียว เพราะเป็นอาชีพเดียวที่มีทั้งฮีล, บัฟ และ Revive แม้กระนั้น Segnale ยังมีสกิลที่ใช้โจมตีจากการใช้แส้ (Blood Whip) และสกิลจากธาตุ Curse สรุปแล้วเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่ครบเครื่องและลงตัวมากอาชีพหนึ่ง
ทำไมต้องเล่น Segnale?

Segnale เป็นอาชีพมีความต้องการต่อปาร์ตี้เป็นอย่างมาก คุณจะเหมือนดาราที่หลายๆ ปาร์ตี้ต้องการมาร่วมทีม เพราะคุณมีสกิลที่สำคัญต่อปาร์ตี้ เช่น Hyper Heal, Great Guard, Amazing Attack และที่สำคัญคุณชุบชีวิตได้ อีกทั้งยังมีสกิลที่สามารถทำความเสียหายได้รุนแรงมากด้วย ไม่ว่าจะเป็น Curse Field, Evil Crow และ Blood Hit ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อถัดไป

การอัพค่าสเตตัส



สำหรับเกมส์นี้เมื่อเราเลเวลอัพ 1 เลเวลเราจะได้ Stat Point มา 5 Points ซึ่งสามารถนำไปอัพสเตตัสของเราได้ และสำหรับอาชีพ Segnale นั้นจำเป็นต้องใช้อาวุธแส้ที่ต้องการสเตตัส DEX และ SPR ในการสวมใส่ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องอัพ DEX และ SPR ให้เพียงพอต่ออาวุธแส้ของคุณก่อน
แล้วแต้มที่เหลือล่ะ? แต้มที่เหลือตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าต้องการให้เป็นแนวทางไหนกันแน่ ซึ่งผมจะแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลักๆ คือ

1. แต้มที่เหลือไปลง DEX – เพื่อเน้นการโจมตี และการใช้สกิลที่รุนแรงมากขึ้น แต่จะส่งผลให้การป้องกัน และเลือดลดน้อยลง ซึ่งจะทำให้ตายง่ายขึ้นเมื่อโดนโจมตีจากมอนสเตอร์หรือผู้เล่น

2. แต้มที่เหลือไปลง Heal – เพื่อเน้นการป้องกัน และเลือดให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตายยากกว่าเดิมเมื่อโดนโจมตีจากมอนสเตอร์หรือผู้เล่น แต่จะทำให้ความเสียหายจากการโจมตี และการใช้สกิลของเราลดน้อยลง

**หมายเหตุ**
- ห้ามอัพ STR เพราะไม่ได้ทำให้อาชีพนี้บวกความสามารถอะไรเพิ่มเลย
- สามารถแบ่งแต้มที่เหลือให้กับ DEX และ Heal ในปริมาณที่เท่าๆ กันเพื่อความสมดุลได้
- ควรวางแผนการอัพ DEX และ SPR ก่อนทุกครั้งในเลเวลถัดไปเมื่อต้องการสวมใส่อาวุธที่ดีขึ้น
- ถ้า MP ไม่พอใช้ให้แบ่งแต้มมาลง SPR บางส่วนเพิ่มได้ เพราะอาชีพนี้จำเป็นที่จะใช้ MP เยอะมาก

การอัพสกิล



สำหรับสกิลของอาชีพ Segnale นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. Heal – เป็นสกิลจำพวกใช้เพิ่มพลังชีวิต และบัฟเพิ่มค่าสเตตัสต่างๆ ให้กับตัวเอง และปาร์ตี้ รวมไปถึงการชุบชีวิต
2. Curse – เป็นสกิลจำพวกดีบัฟ เช่น ลดการโจมตีของศัตรู, ลดเกราะของศัตรู เป็นต้น
3. Blood – เป็นสกิลจำพวกโจมตีจากอาวุธแส้ และสกิล Curse ต่างๆ เช่น Curse Field



ต่อไปจะเป็นการอธิบายสกิลโดยละเอียดในแต่ละ 3 สายกันนะครับ

สกิลสาย Heal

Healing Mastery : เพิ่มการฟื้นฟู MP ของตัวละคร
สกิลที่ต้องการ : ไม่มี
อัพได้เมื่อ : เลเวล 5
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 5 เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : ควรอัพเพราะ สาย Healing ใช้มานาเยอะ

Self Healing : เพิ่มพลังชีวิตให้กับตนเอง
สกิลที่ต้องการ : Healing Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 5
ความน่าใช้ : C
คำแนะนำ : อย่าอัพเลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : ไม่ควรอัพเป็นอย่างยิ่ง เปลือง!!

Wound Healing : เพิ่มพลังชีวิตให้กับเป้าหมาย
สกิลที่ต้องการ : Healing Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 6
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพไว้เลเวลเดียวพอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นทางผ่านสำหรับอัพสกิล Hyper Heal

Hyper Heal : เพิ่มพลังชีวิตให้กับสมาชิกในปาร์ตี้
สกิลที่ต้องการ : Wound Healing เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 29
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็ม 10 เลยพี่น้อง
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นสกิล Heal ที่ดีมาก สามารถฟื้นฟูพลังทั้งปาร์ตี้ในปริมาณมากได้


Recover : ชุบชีวิต
สกิลที่ต้องการ : Hyper Heal เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 42
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเลเวลเดียวพอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นสกิลชุบชีวิตที่จำเป็นมากครับ แต่ต้องการแค่ 1 เลเวลก็เพียงพอแล้ว

Fast Healing : เพิ่มพลังชีวิตแบบฟื้นฟูให้กับเป้าหมายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Recover เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 45
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็ม 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : มีประโยชน์ครับสกิลนี้ ใช้ฟื้นฟูพลังชีวิตจำนวนหนึ่งทุกๆ 1 วินาที

Rising Guard : เพิ่มโอกาสในการบล็อกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Healing Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 15
ความน่าใช้ : D
คำแนะนำ : ไม่ควรอัพ
รายละเอียดเพิ่มเติม : สามารถใช้ได้กับคนเดียว ไม่แนะนำให้อัพเพราะมีสกิลหมู่ที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน

Magic Shield : เพิ่มพลังป้องกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Rising Guard เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 27
ความน่าใช้ : D
คำแนะนำ : ไม่ควรอัพ
รายละเอียดเพิ่มเติม : นี่ก็เหมือนกันครับ มีสกิลหมู่ที่มีคุณสมบัติเหมือนกันที่ดีกว่าให้อัพ

Increase Attack : เพิ่มพลังโจมตี และพลังโจมตีเวทมนตร์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Magic Shield เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 39
ความน่าใช้ : D
คำแนะนำ : ไม่ควรอัพ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เหมือนกันเลยครับ มีสกิลหมู่ที่มีคุณสมบัติเหมือนกันที่ดีกว่าให้อัพครับ

Great Guard : เพิ่มโอกาสในการบล็อกของตัวละครทั้งปาร์ตี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : ไม่มี
อัพได้เมื่อ : เลเวล 42
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 5 เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นสกิลไว้สำหรับสนับสนุนปาร์ตี้โดยเฉพาะ

Divine Shield : เพิ่มพลังป้องกันให้ทุกคนในปาร์ตี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Great Guard เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 54
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 5 เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : เหมือนกันครับเป็นสกิลไว้สำหรับสนับสนุนปาร์ตี้โดยเฉพาะ

[Admin]

Amazing Attack : เพิ่มพลังโจมตี และพลังโจมตีเวทมนตร์ของทั้งปาร์ตี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Divine Shield เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 60
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 5 เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : เช่นกันครับ สกิลนี้จำเป็นอย่างแรง



Dark Circle : เพิ่มพลังโจมตีธาตุ Curse
สกิลที่ต้องการ : Magic Shield เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 55
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อันนี้แล้วแต่คนครับ จะอัพเท่าไหร่ก็ได้ หรือไม่อัพก็ได้
รายละเอียดเพิ่มเติม : เพิ่ม Curse Attack สำหรับตัวละครเรา แต่ MP จะลดลงเรื่อยๆ

สกิลสาย Curse

Curse Mastery : เพิ่มพลังโจมตีธาตุ Curse
สกิลที่ต้องการ : ไม่มี
อัพได้เมื่อ : เลเวล 5
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็ม 10 โลดครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม : สกิลนี้จะเพิ่มพลังโจมตีของสกิลที่โจมตีแบบธาตุ Curse ทั้งหมด เป็นสกิลติดตัว (Passive Skill) นะครับ

Decrease Attack : ลดพลังโจมตีของศัตรู
สกิลที่ต้องการ : Curse Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 7
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1
รายละเอียดเพิ่มเติม : อัพเพื่อเป็นทางผ่านไปเอาสกิล Paralyze ครับ

Diminish : ลดพลังป้องกันของศัตรู
สกิลที่ต้องการ : Decrease Attack เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 28
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 ก็พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เหมือนกันเลยครับ เป็นทางผ่านไปเอาสกิล Paralyze ครับ

Anti Magic : ลดพลังโจมตีเวทมนตร์ของศัตรู
สกิลที่ต้องการ : Dminish เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 40
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นทางผ่านไปเอาสกิล Paralyze เช่นกันครับ

Paralyze : หยุดการเคลื่อนไหวของศัตรู
สกิลที่ต้องการ : Anti Magic เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 54
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็ม 10 เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม : สกิลนี้ใช้ได้ดีมากในการ PVP เพราะเราสามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้นานมากหากเลเวลสกิลสูงๆ

สกิลสาย Blood

Ruins Skull : สกิลโจมตีธาตุ Curse ขั้นพื้นฐาน
สกิลที่ต้องการ : ไม่มี
อัพได้เมื่อ : เลเวล 1
ความน่าใช้ : D+
คำแนะนำ : ไม่ต้องอัพ เพราะมีติดตัวมาอยู่แล้ว 1 เลเวลตั้งแต่เกิด
รายละเอียดเพิ่มเติม : ไม่แนะนำให้อัพครับ เพราะมีสกิลที่แรงกว่านี้

Blood Mastery : เพิ่มการฟื้นฟูพลังชีวิตของตัวละคร
สกิลที่ต้องการ : ไม่มี
อัพได้เมื่อ : เลเวล 7
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : ในช่วงแรกแนะนำให้ไปอัพสกิลอื่นก่อนครับผมเพราะยังไงเราสามารถเพิ่มเลือดโดยใช้ไอเทม หรือฮีลได้อยู่แล้ว ตอนหลังค่อยเอาแต้มสกิลมาอัพเพิ่ม

Death Side : สกิลโจมตีศัตรูทางกายภาพ ทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Blood Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 8
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : สกิลนี้ไม่จำเป็นเท่าไหร่ครับ อัพเป็นทางผ่านเฉยๆ

Backdraft : สกิลโจมตีธาตุ Curse ขั้นต้น
สกิลที่ต้องการ : Blood Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 14
ความน่าใช้ : B
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : ไม่น่าสนใจครับสกิลนี้ อัพไว้เป็นทางผ่านเอาสกิล Curse Field

Vampire : สกิลโจมตีทางกายภาพ พร้อมๆ กับดูดเลือดเป้าหมาย
สกิลที่ต้องการ : Death Side เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 30
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นสกิลที่ไม่น่าสนใจเช่นกัน อัพเป็นทางผ่านไปเอาสกิล Curse Field

[Admin]

Evil Spear : โจมตีศัตรูทางกายภาพ และธาตุ Curse ขั้นกลาง
สกิลที่ต้องการ : Backdraft เลเวล 1, Vampire เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 47
ความน่าใช้ : B
คำแนะนำ : อัพแค่เลเวล 1 พอ
รายละเอียดเพิ่มเติม : พลังโจมตีอยู่ในระดับใช้ได้เลยครับ แต่ยังมีที่แรงกว่าครับผม ดังนั้นอัพไว้แค่ 1 พอ สำหรับให้เป็นทางผ่านไปยังสกิล Curse Field

Blood Hit : โจมตีศัตรูทางกายภาพด้วยแส้ จำนวน 1-8 ครั้ง
สกิลที่ต้องการ : Blood Mastery เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 20
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : สกิลสุดเก่งของสาย Blood โจมตีรัว 1-8 ครั้งขึ้นอยู่กับเลเวลสกิล แต่มีข้อจำกัดคือถ้าโดนบล็อกได้คอมโบจะหยุดทันที

Curse Field : สกิลโจมตีธาตุ Curse รัศมีเป็นวงกว้าง
สกิลที่ต้องการ : Evil Spear เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 59
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : สุดยอดสกิลโจมตีวงกว้าง (AoE) ของอาชีพนี้เลย ไม่อัพไม่ได้จริงๆ


Dread Nail : สกิลโจมตีศัตรูธาตุ Curse 3 ครั้ง ทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง
สกิลที่ต้องการ : Backdraft เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 35
ความน่าใช้ : C+
คำแนะนำ : ไม่ต้องอัพ
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นขั้นสูงของสกิล Death Side

Evil Crow : โจมตีศัตรูด้วยธาตุ Curse และทางกายภาพ 6 ครั้ง
สกิลที่ต้องการ : Evil Spear เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 66
ความน่าใช้ : A
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : เป็นสกิลที่ทำความเสียหายได้เยอะมากสำหรับสายอาชีพนี้

Spirit Emission : โจมตีศัตรูด้วยแส้ เป็นทางยาว 2 ที
สกิลที่ต้องการ : Evil Spear เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 77
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10
รายละเอียดเพิ่มเติม : สกิลนี้แรงใช้ได้อยู่ครับ น่าสนใจไม่น้อย

Rise Pierce : โจมตีศัตรูด้วยแส้ 3 ที และลดพลังป้องกันธาตุ Curse, การเคลื่อนที่ และ HP
สกิลที่ต้องการ : Spirit Emission เลเวล 1
อัพได้เมื่อ : เลเวล 92
ความน่าใช้ : B+
คำแนะนำ : อัพเต็มเลเวล 10

**หมายเหตุ

- สำหรับสกิลที่แนะนำข้างต้นจะอัพได้หมดประมาณที่เลเวล 110 แต่เลเวลสูงสุดจะได้ที่ เลเวล 150 สามารถมีสกิลเหลือที่จะนำไปอัพอย่างอื่นได้

- สำหรับสกิลที่ได้แนะนำไปนั้น สามารถปรับเปลี่ยนตามความชอบใจชองผู้เล่นได้ครับ นี่เป็นแค่แนวทางหนึ่งเท่านั้น

- เกมนี้สามารถรีสกิลได้ 1 ครั้งต่อ 1 ตัวละครครับ เพราะฉะนั้นคิดให้ดีก่อนเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน (ถ้ารีสกิลแล้วไม่ต้องไปอัพ Ruins Skull อีกนะครับ)




สายการเล่น

ต่อไปจะพูดถึงสายการเล่นของอาชีพนี้นะครับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สายด้วยกัน ดังนี้

สาย Healing

ค่าสเตตัสที่เน้น : Heal
สกิล : สาย Heal และ Curse
รูปแบบการเล่น : สายนี้ต้องไปเป็นแบบปาร์ตี้เท่านั้น เพราะไม่มีสกิลการโจมตีที่รุนแรงของ สาย Blood เลย สายนี้จะเน้นไปที่ใช้สกิลดีบัฟใส่มอนสเตอร์ให้เพื่อนในปาร์ตี้ฆ่าได้ง่ายขึ้น และบัฟใส่เพื่อนๆ ในปาร์ตี้ สายนี้ค่อนข้างเล่นยากเพราะ เก็บเลเวลคนเดียวไม่ค่อยได้
ควรเน้นสเตตัสไปที่ Heal เพราะเราเป็นสายสนับสนุน ไม่รู้จะโจมตีแรงไปเพื่ออะไร ส่วนสกิลนั้นเริ่มต้นให้อัพสกิลสาย Heal ตามด้วย Curse ตามที่แนะนำไป และถ้าช่วงเลเวลหลังๆ อาจจะอัพสกิลดีบัฟของสาย Curse เพิ่มก็ไม่เลว



สาย Whip

ค่าสเตตัสที่เน้น : DEX หรือ Heal
สกิล : สาย Blood และ Curse
รูปแบบการเล่น : สายนี้โจมตีได้หนักหน่วงโดนใจมาก เหมาะสำหรับขา PVP จำเป็นต้องใช้สกิลโจมตีของสาย Blood ซึ่งถ้ารวมกับ DEX มากๆ ของสายนี้จะทำให้ฆ่าผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ได้ไวมาก สามารถเก็บเลเวลคนเดียวได้สบาย แต่พยายามอย่าให้โดนมอนสเตอร์รุม เนื่องจากพลังป้องกันน้อยจะทำให้เรามีโอกาสทำให้ตายได้ง่าย สำหรับการ PVP ก็เช่นกัน จำเป็นต้องฆ่าให้ไวที่สุด เพราะเรามีจุดเด่นที่การโจมตี และจุดด้อยที่พลังป้องกัน
แต่ถ้าเราไปเน้น Heal ให้ตายยากๆ สำหรับการ PVP ก็ไม่เลว เผลอๆ อาจเก่งกว่าด้วยซ้ำ อันนี้แล้วแต่สไตล์คนเล่น สำหรับสกิลของสายนี้จะเน้นไปที่ Blood แล้วตามด้วย Curse ซึ่งมีสกิลสำหรับ PVP ที่ดีมากนั่นคือ Paralyze ช่วงเลเวลหลังๆ ถ้ามีแต้มสกิลเหลือแนะนำให้อัพสกิลสาย Heal ที่บัฟตัวเองคนเดียว เช่น Self Healing, Increase Attack เป็นต้น



สายผสม

ค่าสเตตัสที่เน้น : แบ่ง DEX และ Heal เท่าๆ กัน
สกิล : สาย Blood และ Heal
รูปแบบการเล่น : สายนี้จะมีความสมดุลสูง เพราะมีทั้งโจมตีของสาย Blood และบัฟของสาย Heal ทั้ง 2 อย่างรวมกัน บวกกับค่าสเตตัส DEX และ Heal ที่ถูกแบ่งในปริมาณเท่าๆ กันด้วย ทำให้สายนี้สามารถไปเป็นปาร์ตี้ก็ได้ หรือจะฉายเดี่ยวก็สบาย อีกทั้งเรื่องของ PVP ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
สำหรับสเตตัสขอแนะนำให้แบ่งเท่าๆ กัน แล้วสกิลก็จะเน้นที่ Blood และ Heal ก่อน และช่วงเลเวลหลังๆ อาจไปอัพสกิล Curse Mastery เพื่อเพิ่มความแรงของสกิลธาตุ Curse ก็ได้



แนวทางการเล่นของ Segnale ก็มีเพียงเท่านี้ครับ ถ้าใครได้เล่นแล้วรับรองจะติดใจ ยิ่งถ้าหลังๆ ลุยดันเจี้ยนโหดๆ รับรองมีแต่คนมาชวนเข้าปาร์ตี้แน่ๆ